ชีวิตอีกด้านของผู้ชายที่ชื่อ “Novak Djokovic”

     เราอาจจะรู้จักผู้ชายที่ชื่อ Novak Djokovic อยู่แล้วกับผลงานด้านกีฬาเทนนิสอาชีพของเขา วันนี้ APX ขอพาทุกท่าน มารู้จักผู้ชายคนนี้ให้ลึกขึ้นกับเรื่องราวอีกมุมนึงเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวและด้านจิตวิญญาณของเขากับเรื่องราวชีวิตอีกด้านของผู้ชายที่ชื่อ Novak Djokovic”

พลังของการเลือก

     Novak เกิดที่เมือง Belgrade ประเทศเซอร์เบียและมีน้องชายอีก 2คน โดยพื้นฐานครอบครัวเองไม่มีใครเคยเล่นเทนนิสมาก่อนเลย คุณพ่อ เป็นครูสอนสกี และเติบโตมาในช่วง สงครามยูโกสลาเวียที่เกิดจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติอย่างรุ่นแรงในวัยเด็ก

     โนเล่เริ่มหัดเทนนิสตอน 4 ขวบและเหมือนฟ้าประทานพรเพราะมีสนามเทนนิสอยู่ 3 คอร์ทอยู่ตรงข้ามร้านอาหาร ของพ่อและแม่ของเขา และจนกระทั่ง อายุ 5 ขวบ พ่อและแม่ของโนเล่น้อยพาไปดูการจัด Tennis Clinic โดย Jelena Gencic โค้ชเทนนิสคนแรกที่เห็นความสามารถของ Novak สำหรับโนเล่แล้ว Gencic เปรียบเสมือน tennis mother ที่สอนทั้งการเล่นเทนนิสและการใช้ชีวิตในวัยเด็กของเขาด้วย ในตอนเด็กวัย 9 ขวบ พ่อกับแม่ถามโนเล่ว่า ให้ตัดสินใจว่าจะเลือกเล่นกีฬาอะไร ระหว่าง สกี เทนนิสหรือฟุตบอล โนเล่เลือกที่จะท้าทายตัวเองและเลือกกีฬาเทนนิสตั้งแต่ตอนนั้น โนเล่ยังบอกอีกว่าในปี 1993 หลังจากเห็น Pete Sampras ได้แชมป์ Wimbledon เป็นครั้งแรกเขายกย่อง Pete เป็นไอดอลและตัดสินใจเลือกที่จะเดินบนเส้นทางเดียวกันและมุ่งสู่เป้าหมายอันดับ 1 ของโลกให้ได้ และจนกระทั่งอายุครบ 12ปี Gencic มองเห็นว่าเด็กคนนี้ต้องการโค้ชที่มีความ Professional มากกว่าจึงส่งต่อให้ Nikola Pilic ดูแลต่อไป 

Novak และ Jelena Gencic

สนามเทนนิสแห่งแรกที่เมือง Belgrade (เต็มไปด้วยรูระเบิด) ตอน Novak เริ่มสัมผัสกีฬาเทนนิสเป็นครั้งแรก ตอนอายุ 4 ขวบ

 จากความแค้นเปลี่ยนเป็นชัยชนะของประเทศ

     ในปี 1999 ตอนโนเล่อายุ 12 ปี โนเล่เผยว่าเขาต้องตื่นนอนกลางดึกทุกคืน เพราะเสียงไซเรนที่ดังกึกก้องเนื่องจากมี เครื่องบินทิ้งระเบิดบินผ่านทุกวัน และเช้าวันที่ 22 พฤษภาคม 1999 นั้นเองในวันเกิดครบรอบอายุ 12 ปีขณะที่โนเล่กับเพื่อนๆร้องเพลงสรรเสริญวันเกิดเสร็จนั้นแทนที่เด็กน้อยคนนึงจะได้เฉลิมฉลองวันเกิดกับเพื่อนๆอย่างมีความสุข กับต้องเจอกับเหตุการณ์การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เสียงระเบิดดังกึกก้องที่กังวาลอยู่ในหัวของเด็กน้อยหลังเพลงวันเกิด  การรอบวางระเบิดครั้งนันที่ทำให้มีผู้คนบริสุทธิ์ เด็กและผู้หญิงล้มตายเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุการณ์ที่น่าหดหู่อย่างมากสำหรับเด็กคนนึง

       ยังมีเหตุการณ์ที่เขาไม่สามารถลบจากความจำได้เลย ที่เขาเห็นพ่อกับแม่มีเงินเหลือเพียง 10 ดอลล่าร์ ต้องต่อแถวกับคนนับพันรอรับขนมปัง อาหาร เพื่อประทังช่วงชีวิตที่ลำบากให้ผ่านช่วงสงครามนั้นไปให้ได้ จากเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในวัยเด็กของเค้า โนเล่จึงมีความคิดที่จะล้างแค้นใครก็ตามที่ทำให้ครอบครัว และประเทศของเขาต้องเจอกับสถานการณ์แสนหดหู่ อยู่กับความกลัว เขาต้องการให้คนเหล่านั้นรับรู้ถึงความสูญเสียนี้ไม่ต่างกับเขา

      แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้โนเล่ เปลี่ยนความคิดของเขาไปตลอดกาล เมื่อชาวเซอร์เบียจำนวนกว่า 1,000 คนยืนพร้อมเพียงกันบนสะพานสำคัญแห่งนึงที่เมือง Belgrade บ้านเกิดของเขาและร่วมกันทำสัญลักษณ์ว่าพวกเราคือเป้าหมาย หากจะทำลายสะพานแห่งนี้ต้องผ่านพวกเราไปก่อนโนเล่จึงรู้สึกซาบซึ้งและเห็นพลังของการรวมเป็นหนึ่งว่ามันทรงพลังมากๆ

     โนเล่ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนมุมมองกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนจากความแค้นเป็นการปล่อยวางและเข้าใจว่าเราไม่สามารถตัดสินคนทั้งหมดจากการกระทำของคนเพียงบางกลุ่มได้ และจากนั้นเองเขาก็ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่อีกครั้งที่จะใช้ชีวิตในฐานะ “Message to the world” ว่าจากเด็กคนนึงจากเมืองเล็กๆ ของประเทศเซอร์เบียที่เติบโตมาในความลำบากทั้งฐานะและโอกาส สามารถที่จะเป็นอันดับ 1” ได้ผ่านกีฬาระดับโลกอย่างเทนนิสนั่นเอง และในปี 2007 ก่อนที่โนเล่จะได้แชมป์แกรนด์สแลมแรกด้วยซ้ำ NDF ( Novak Djokovic Foundation ) ได้ถือกำเนิดขึ้นด้วยจุดตั้งมั่นที่จะช่วยเหลือเด็กที่ยากลำบากและต้องการความช่วยเหลือในประเทศเซอร์เบียให้มีชีวิตที่ดีขึ้นในทุกๆด้าน และในภายหลังปี 2017 โนเล่ได้เปิดร้านอาหารฟรีสำหรับคนไร้บ้านที่เซอร์เบียและกล่าวว่า “Money is not a problem for me I have earned enough to feed all of Serbia”.

หนึ่งในร้านอาหารของ Novak ที่ช่วยผู้ต้องการได้กินฟรี

credit : NovakFoundation

Lucky in love but not lucky in game

      ช่วง 3-4 เดือนก่อนแมทช์ US Open แมทช์แกรนด์สแลมแมทช์สุดท้ายแห่งปี 2021 นี้ โนเล่ผิดหวังกับแมทช์ Olympics Tokyo แมทช์สำคัญสำหรับประเทศเซอร์เบีย เพราะถือเป็นความหวังของคนทั้งประเทศและแรง Drive ในการเล่นเทนนิสของโนเล่เลยก็ว่าได้ สำหรับการเดินทางอันแสนยาวนานของเขา นี่คือโอกาสสำคัญที่จะสร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน คือ 1. ผู้ชายคนแรกที่ชนะ ถ้วยแกรนด์แสลมเยอะที่สุดในโลก นำหน้า Nadal และ Federer ซึ่งนั่นก็คือ ถ้วยที่ 21 ที่ทุกคนคาดหวัง รวมถึงตัวโนเล่เองด้วย (ถึงแม้ว่าโนเล่จะเป็นคนเดียวในโลกที่ทำ double career grand slam อยู่ตอนนี้ ) 2. นักเทนนิสชายคนแรกของโลกที่จะได้ Calendar year golden slam ( ชนะ ทั้ง 4 แกรนด์สแลมกับอีก 1 Olympics ) ในปีเดียวกัน ซึ่งมนุษย์คนเดียวในโลกที่ทำได้ก็คือ Steffi Graf ภรรยาของพ่อหนุ่มบลูยีนส์ Andre Agassi นั่นเอง 3. ทุบประวัติศาสตร์ตัวเอง สำหรับ Calendar year grand slam แรกซึ่งก็คือการชนะทั้ง 4 แกรนด์สแลมรวดภายในปีเดียวกัน ( ถ้าชนะคาบปีเรียกว่า Non-calendar year grand slam ) ซึ่ง โนเล่ก็เป็นเพียงคนเดียวที่ทำ Non-calendar year grandslam ได้ในปี 2015-2016

 Relief, Sadness, and gratitude

     จากความหนักหน่วงทั้งหมดที่แบกบนบ่าของผู้ชายคนนี้ ผมคิดว่ามันไม่แปลกเลยที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ โนเล่ร้องไห้บนสนามเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ก่อนจะไปจบเซ็ทสุดท้ายกับ Medvedev ความรู้สึกที่ปนไปด้วยทั้งความผิดหวังและความรู้สึกขอบคุณที่ท่วมท้นในเวลาเดียวกัน หากมองในมุมมองของเรื่องผลลัพธ์จากการแข่งขัน ในโลกของกีฬามันมีแต่คำว่าแพ้หรือชนะเท่านั้นแต่หากมองให้ลึกลงไปถึงแม้โนเล่จะแพ้กับการแข่งขันแมทช์สำคัญมาก แต่ในขณะเดียวกันโนเล่กลับได้สัมผัสความรู้สึกชนะใจคนดูได้ และในภายหลังได้ให้สัมภาษณ์หลังแมทช์ US Open 2021 final จบลงว่า “Relief, I’m glad it’s over” หลายๆครั้งเราเคยคิดว่า Novak เปรียบเสมือนเครื่องจักรสังหารที่ไม่เคยหยุดสร้างสรรค์ผลงานที่ยิ่งใหญ่บนโลกกีฬาเทนนิส แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นมันชัดเจนมากเลยว่า โนเล่ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเหมือนกับเราที่มีความรู้สึก ความเศร้า ความหวัง และความกดดัน แต่สิ่งสำคัญก็คือเราต้องก้าวข้ามผ่านความรู้สึกเหล่านั้นให้เร็วที่สุด และไปต่อเพื่อเป้าหมายของเราที่วางเอาไว้

โนเล่ร้องไห้ระหว่างเซ็ทสุดท้าย ก่อนที่จะพ่ายให้กับ Medvedev ในรอบ US Open 2021 รอบ final

 Being Open-minded

     ผู้สัมภาษณ์ถามโนเล่ว่าคนอื่นมองคุณประสบความสำเร็จมามากมายและรวดเร็วมาตลอดกว่า10ปีที่ผ่านมา คุณมองความสำเร็จของตัวเองคืออะไร? โนเล่ตอบว่า “Being Open-minded” การเปิดรับสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา จริงๆแล้วโนเล่ย้อนมองดูชีวิตตัวเองในอดีตแล้วก็ค้นพบว่า เขาเปิดกว้างกับสิ่งใหม่ๆตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเล่นเทนนิส ตอน 4 ขวบแล้ว เขาเลือกกีฬาที่ไม่มีใครในครอบครัวเคยเล่น โนเล่เผยว่าเขารู้สึกเสียใจและรู้สึกทรยศกับความตั้งใจที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นใหม่ทุกครั้งที่ฟาด racket ลงบนพื้น โนเล่เปิดใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์ ของ Inner Self ( ซึ่งเป็นที่มาของ 1 ในโลโก้ของเขาด้วย ) เพื่อเรียนรู้ที่จะไม่ใช่แค่เป็นนักเทนนิสที่เก่งขึ้นแต่เรียนรู้ที่จะเป็นคนที่ดีขึ้นในฐานะมนุษย์ในทุกๆวันของเขา ทุกๆเช้าโนเล่จะตื่นขึ้นมาสวดมนต์เพื่อขอบคุณร่างกาย ครอบครัว โอกาสที่ได้พัฒนาตัวเองทุกวันและทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น และสำหรับเขาแล้วทุกๆครั้งที่ลงสนามเปรียบเสมือนพื้นที่ ที่จะ Challenge ตัวเองและพัฒนาตัวเองไปพร้อมๆกับชีวิตนอกสนามด้วย 

     สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนของใครในบัลลงก์ 3 เทพ โรเจอร์, นาดาล หรือ โนวัคเอง ผมเชื่อว่าเรื่องราวชีวิตอีกด้านของโนวัคจะให้คุณค่ากับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในการไปปรับใช้กับเกมส์กีฬาของคุณหรือในชีวิตประจำวันและการทำงานได้ไม่มากก็น้อยนะครับ

เครดิต : https://www.youtube.com/watch?v=5fioh5PMyTk&t=1398s